รีวิวหนัง PROMISING YOUNG WOMAN สาวซ่าส์ล่าบัญชีแค้น
PROMISING YOUNG WOMAN เข้าชิงออสการ์ 5 สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, กำกับยอดเยี่ยม, บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม, และตัดต่อยอดเยี่ยม
เรื่องย่อ: แคสแซนดรา (แครีย์ มัลลิแกน) สาวร้านขายขนมผู้มี งานอดิเรก คือการออกเที่ยวกลางคืนและแกล้งเมาเพื่อล่อลวงผู้ชายที่หวังดีประสงค์ร้ายต่อร่างกายของสาว ๆ ที่ไร้สติไปแก้แค้นเมื่ออยู่เพียงตามลำพัง การแก้แค้นของเธอดำเนินต่อไปโดยซ่อนปมในอดีตสมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนแพทย์เอาไว้ จนกระทั่งเธอได้พบ ไรอัน (โบ เบิร์นแฮม) เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียน ที่นำพาทั้งความโรแมนติก และการระลึกถึงบาดแผลในอดีตกลับมาให้ชัดเจนอีกครั้ง การแก้แค้นมากชั้นเชิงนี้จะจบอย่างไร? ความรักจะเปลี่ยนเธอให้รู้จักการอภัยได้หรือไม่? ต้องติดตาม
หนังเล่าเรื่องของ Cassandra หรือ Cassie (Carey Mulligan ผู้เข้าชิงออสการ์จาก An Education) ที่ยังไม่สามารถ move on จากการสูญเสียเพื่อนรักอย่าง Nina ไป เธอลาออกจากคณะแพทย์และมาทำงานเป็นลูกจ้างร้านกาแฟ แต่ในบางราตรี เธอก็แปลงร่างเป็นสาวแซ่บแกล้งเมา รอตะครุบเหยื่อสุภาพบุรุษที่หวังดีแต่ฉวยโอกาสลวนลามและข่มขืนผู้หญิงที่เมาไม่ได้สติในผับบาร์อย่างเธอ
วันหนึ่ง Cassie ได้เจอกับ คุณหมอ Ryan (Bo Burnham จาก The Big Sick) เพื่อนร่วมชั้น สมัยเรียนแพทย์ ทำให้เธอได้ทราบข่าวคราวของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ที่เคยทำลายชีวิตของ Nina ว่า คนเหล่านั้นกำลังมีชีวิตที่ดี ทั้งชีวิตครอบครัวและฐานะหน้าที่การงาน เธอจึงเริ่มปฏิบัติการล้างแค้นคนเหล่านั้นเป็นรายคน ตั้งแต่ Al Monroe (Chris Lowell จาก The Help) ผู้ที่ทำลายชีวิต Nina โดยตรง, Madison (Alison Brie จาก The Post) เพื่อนสาวผู้ ignorant, คณบดีที่เข้าข้าง Al เพิ่งเพราะเขาเป็นนักศึกษาชายอนาคตไกล, ผู้พิพากษา (?) ผู้ตัดสินให้ Al ได้รอดพ้นผิด ฯลฯ
หนังค่อย ๆ แง้ม เรื่องราวในอดีตออกมาทีละเปลาะ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Nina โดยไม่ต้องใช้ ภาพแฟลชแบ็ก ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย คนดูก็ สามารถปะติดปะต่อเรื่อง ได้เอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จินตนาการยากอะไร เพราะทุกวันนี้เราต่างคุ้นเคยกับ male privilege, patriarchy (สังคมชายเป็นใหญ่), victim blaming, rape culture, จนไปถึง ความอยุติธรรมของศาล หรือ กฎหมาย กันอยู่แล้ว เช่น ผู้หญิงแต่งตัวโป๊บ้างล่ะ ผู้หญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เมาในที่อโคจรเองบ้างล่ะ ฯลฯ ใช่… นี่คือหนัง feminist เรื่องหนึ่งในยุค #MeToo และ Time’s Up movements
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนที่กระทำผิดกลัวที่จะได้รับผลกรรม กลัวหมดอนาคต กลัวชีวิตพัง แต่ไม่สนว่าตัวเองได้พังชีวิตคนอื่นไปแล้วเท่าไหร่… เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สังคมก็ยังเข้าข้างคนทำผิด ช่วยปิดบังความผิด และไม่ลงโทษคนผิดอย่างที่ควรจะเป็น เพียงเพราะคิดว่าชีวิตหรืออนาคตของจำเลยยังมีค่า ทั้งที่ทุกคนเกิดมาควรมีค่าเท่ากัน ใช่… มันไม่แฟร์ และมันก็เป็นเรื่องน่ากลัวที่เราไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา สถานะทางสังคม และภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดี ดูเหมือนจะ “nice” นั้น เนื้อแท้ของเขาจะเป็นอย่างไร หรือ nice guy ของเราอาจจะเคยเป็น monster ของคนอื่นมาก่อนก็ได้
ทุกคนเคยทำผิดพลาด อาจจะเพราะตอนนั้นยังเด็กจึงไม่คิดหน้าคิดหลัง อาจเพราะความคึกคะนอง อาจเพราะความมัวเมาไม่ได้สติ หรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ แต่ที่สำคัญ คนที่ทำผิดต้องรู้สึกสำนึกผิด รับผิดชอบ และยอมรับในผลกรรมและบทลงโทษในสิ่งที่ทำผิดทำพลาดนั้น ไม่ใช่ว่ายังใช้ชีวิตปัจจุบันอย่างปกติสุขได้โดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำของตนเองในอดีตเลยแม้แต่น้อย
อย่างในเรื่องนี้เอง Cassandra ก็ไม่ได้แค้นฝังหุ่นถึงขนาดจะต้องฆ่าแกงคนเหล่านั้นให้ตายตามกันไป หรือต้องลงโทษโดยการทำลายชีวิตของพวกเขาให้พังครืนอะไรขนาดนั้น สิ่งที่เธอต้องการก็คือความแฟร์ คำขอโทษ และความสำนึกผิดจากใจจริง ถ้าพวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เธอก็พร้อมจะให้อภัย เพราะเธอก็เชื่อเช่นกันว่า ทุกคนผิดพลาดกันได้ เปลี่ยนแปลงกันได้ หรืออาจมีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ เราคิดว่าเป็นพอยต์ที่ดี เพราะในสังคมสมัยนี้ เรามักจะเจอแต่การเหยียบซ้ำ การไม่ให้โอกาส และการทำลายอย่างไม่รู้จบ
แต่หากจะชื่นชมการแสดงในเรื่องนี้แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องยอมรับว่า แครีย์ มัลลิแกน คือคนที่โดดเด่นในหนังที่สุด แม้ว่าบทหนังจะไม่ได้อำนวยให้เธอได้โชว์เทคนิคมากมายนักในบางช่วงเวลา แต่เมื่อหนังต้องการความลึกในการแสดง เธอก็สามารถเฉิดฉายและทำให้เราจดจำเธอในฉากนั้นได้อย่างไม่พลาดสักนาที ไม่ว่าจะการใช้สายตานิ่ง ๆ จ้องใส่เหยื่อหนุ่มที่หลงกลติดกับอยู่กับเธอสองต่อสอง จนผู้ชมเองยังต้องหงอตาม หรือช่วงที่เผยปมดราม่าในใจอันซับซ้อนของเธอที่บางครั้งขัดแย้งกันเองระหว่างการล้างแค้นหรือการให้อภัย ตลอดจนบรรดาสายตาผิดหวังในมนุษย์ที่ภายนอกดูเป็นคนดีเสียเหลือเกิน แต่ภายในกลับช่างเหม็นเน่า ทำให้หนังเป็นมากกว่าหนังล้างแค้นไปมากทีเดียว
และถ้าว่าไปมัลลิแกนมองการแสดงหลายเฉดในหนังเรื่องเดียวได้น่าทึ่งมาก ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นหญิงใสซื่อที่ตกหลุมรักหรือหญิงโรคจิตที่หมกมุ่นกับการล้างแค้น เธอทำให้เราเชื่อได้หมดแม้จะเป็นฉากที่อยู่ถัดกันเลยก็ตาม
สิ่งที่สุดท้ายที่คงต้องขอชมคือการออกแบบศิลป์ และการถ่ายภาพที่พยายามสะท้อนสัญญะบางอย่างให้เราได้ขบคิด เช่นการวางกรอบสี่เหลี่ยมไว้หลังนางเอกเพื่อให้นางเอกยื่นหน้าผ่านเส้นขอบสมมติออกไป ในฉากที่นางเอกเกิดการเปลี่ยนแปลงทลายกำแพงในใจบางอย่าง หรือการใช้ทรงผมของนางเอกเพื่อเผยปรากฏการณ์ภายในใจของตัวเอกในแต่ละช่วงเวลาของพัฒนาการในหนังก็นับว่า คิดมาถี่ถ้วนและตั้งใจไม่น้อยทีเดียว คือดูเรื่องราวของหนังก็สนุก ดูรายละเอียดการออกแบบหนังเองก็ไม่น่าเบื่อ ได้ครบทั้งการตกแต่งหน้าและไส้ในจริง ๆ
สิ่งหนึ่งที่เราชอบในหนังเรื่องนี้คือ เราไม่รู้ว่าหนังจะพาเราไปแลนด์ดิ้งหรือจบที่ตรงไหน และเล่นกับความรู้สึกของคนดูเพื่อให้เข้าใจความใจแหลกสลายของ Cassandra แต่ละคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบในบทสรุปต่าง ๆ กัน บางทีเราเองก็อยากให้เธอ move on หรือปล่อยวางก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ อยากให้ใช้ชีวิตแบบปกติ แต่มาคิดอีกที ในมุมมองของเธอ ถ้าเราเป็น Cassandra มันก็คงยากที่จะใช้ชีวิตแบบปกติสุขได้ถ้ามันยังค้างคาอยู่อย่างนี้ อืม… หนังก็วัดศีลธรรมหรือเลเวล ignorance ในใจเราได้ประมาณหนึ่งเลยนะ
เราอาจจะไม่ถูกใจตอนจบเสียทั้งหมด แต่มันก็คือชีวิตของเธอ และปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือตอนจบที่ดีที่สุดแล้วสำหรับ Cassandra เอง
***รีวิวเพิ่มเติมนี้มีการสปอยล์เนื้อหาบางส่วน***
จากตัวอย่างและเรื่องย่อพาลให้คิดไปว่านี่ต้องเป็นหนังล้างแค้นไล่ล่า ไล่เชือด เดือด เลือดสาดอะไรแบบนั้นมันเป็นหนังล้างแค้นก็จริง แต่พอดูไปสักพักไม่ถึงครึ่งเรื่องก็รู้ว่า “โอเคเราคิดผิดละ” หนังมันหักหลังเราด้วยการใส่สัญญะต่าง ๆ เช่นซอสเปื้อนเสื้อ หรือการขีดนับแต้มของนางเอกในสมุด ก็ล้วนทำให้คิดว่าผู้ชายที่โดนนางเอกหลอกล่อมาต้องโดนฆ่าแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะสิ่งที่เธอทำแค่การด่า ๆ เท่านั้น มันเลยทำให้รู้สึกว่า “อะไรวะ ? แค่เนี้ย ?” และจะปูให้เหมือนนางเอกโหดเพื่ออะไรกันนะ มันไม่ได้ฉากไล่ฆ่าผู้ชายตัดช้างน้อย โรคจิต ๆ อะไรแบบนั้นเลย
ย้ำอีกครั้งว่าความจริงคือมันไม่ใช่หนังล้างแค้นแบบนั้น ในด้านการล้างแค้นบุคคลเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตก็ไม่ใช่การไปไล่ฆ่าเช่นกัน แต่มันคือการล้างแค้นแบบ…มีชั้นเชิงหน่อย ๆ
ด้วยความที่หนังมันเป็นแบบนั้นมันจึงยังเป็นการล้างแค้นที่ “ไม่สะใจ” มันค่อนข้างธรรมดาและดูจืดชืดไปเสียด้วยซ้ำ ไม่สมกับเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายตามคำกล่าวอ้างของนางเอกสักเท่าไหร่
หนังมีตอนจบที่ไม่คาดคิด เซอร์ไพรส์ไม่ใช่เล่น เรามักไม่ค่อยได้เห็นหนังล้างแค้นจบแบบนี้สักเท่าไหร่ มันก็มีแบบสรุปในแบบของมัน แต่มันอาจจะแค่ไม่ถูกจริตเราเท่านั้นแหละ มันน่าจะขยี้อะไรได้มากกว่านี้
และในส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต หนังมันยังไม่ได้ให้ความชัดเจนกับเหตุการณ์นั้นว่าจริง ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่มีฉากแฟลชแบ็ก มีเพียงคำพูดคำกล่าวของเหล่าตัวละคร และคลิปที่คนดูได้ยินแต่เสียงที่ก็ยังคงไม่ชัดเจนว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น แถมเรื่องราวของ “ตัวละครนั้น” ที่เกี่ยวข้องกับนางเอก หนังก็ยังคงไม่ได้ให้ความชัดเจนมากเท่าที่ควรเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวละคร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ามองกันจริง ๆ แล้ว ด้วยความเป็นคนธรรมดา ถ้าเจอเหตุการณ์แบบในหนัง เราก็คงไปควักปืนไล่ล่าฆ่าแบบ John Wick คงไม่ได้ เราก็คงทำเหมือนนางเอกในหนังแหละ เพราะมันดูจริงและเป็นไปได้กว่าหนังล้างแค้นหลาย ๆ เรื่อง
ตัวหนังยังมีฉากหลาย ๆ ฉากที่นั่งคิดไปคิดมาไม่รู้ว่าจะมีทำไม ไม่รู้ว่าจะใส่ไปเพื่ออะไร คิดออกอย่างเดียวว่าคงอยากให้หนังยาวขึ้นเท่านั้นแหละมั้ง…
ต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้มีนักแสดงอย่าง Carey Mulligan คอยแบกเอาไว้ทั้งเรื่อง แค่คนเดียวจริง ๆ เพราะนอกเหนือจากนั้นไม่ได้มีนักแสดงคนไหนที่น่าจดจำ บางคนเล่นแข็งมาก บางคนเล่นซะตลกเชียว บางคนก็เล่นใหญ่เกินเบอร์ฺ บางตัวละครก็ไม่จำเป็นต้องมีด้วยซ้ำ
ถึงแม้ Mulligan แสดงดีก็จริง แต่โดยส่วนตัวเรายังรู้สึกว่ามีคนที่เหมาะกับบทนี้มากกว่าเธอ ในใจเราคิดถึงนักแสดงคนนึงไม่รู้ทำไมเหมือนกัน นั่นก็คือ Margot Robbie เพราะบทบาทของตัวละครชวนให้นึกถึงจริง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Robbie ก็รับหน้าที่อำนวยการสร้าง ภายใต้บริษัท LuckyChap Entertainment
Comments (0)